บี น้ำทิพย์ ควงคู่ ไฮโซฟลุค เปิดตัวออกสื่อครั้งแรก เผยข่าวดีแม่ฝ่ายชายให้แหวนตีตราจองแล้ว มั่นใจเป็นผู้ชายที่ใช่ ใช้เวลาพิสูจน์นาน ไม่แคร์กระแสวิจารณ์ก่อนหน้านี้
ควงคู่กันมาเปิดตัวธุรกิจสุขภาพและความงาม Glow Plus Wellness ที่ Brighton Grand Hotel Pattaya วันนี้ (19ส.ค.67) 2 ผู้บริหาร ฟลุค สหวัสส์ ภักดีมงคลโรจน์ หรือ ไฮโซฟลุค และ บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ ถือโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์คู่กันเป็นครั้งแรก
นอกจากทั้งคู่จะพูดถึงธุรกิจ Glow Plus Wellness ที่ตั้งใจทำเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค เจาะตลาดตอบรับเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคต ส่งเสริมการตลาดเชิงรุกด้านสุขภาพและความงาม ตอบสนองความต้องการใช้บริการทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจตลอดจนเป็นการยกระดับให้ธุรกิจ Wellness ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลแล้ว ยังอัพเดตเรื่องหัวใจหลังโดนจับตาเรื่องความสัมพันธ์มาโดยตลอด
เปิดธุรกิจแล้ว เปิดตัวด้วยเลย? บี – “จริงๆ แล้วเราเหมือนทำงานด้วยกัน มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด การทะเลาะกันเรื่องงานคือน้อยมากเพราะว่าเราเป็นคนที่มีเหตุผลทั้งคู่ แล้วเราก็จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งเกี่ยวกับงาน”
ตัดสินใจยากไหมก่อนที่จะมาทำธุรกิจร่วมกับแฟนตัวเอง? บี – “ไม่ยากเลย อย่างที่บอกว่าเขาเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่ได้มีการเอารัดเอาเปรียบอะไรกัน ต่างคนต่างทำงานในด้านของตัวเอง แต่การที่มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เขาเกร็งแน่นอนค่ะ(ยิ้ม)”
ฟลุค – “กล้องมันเยอะมากเลย ไม่เคยเจอกล้องเยอะขนาดนี้ ไม่ชิน”
หลังจากที่เริ่มเปิดตัวมากขึ้นแล้ว มีฟีดแบ็กมาถึงทั้งคู่ยังไงบ้าง? บี – “คือจริงๆ ไม่ได้ปิดบังเพราะว่าทุกคนก็น่าจะรู้กันอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ต้องการที่จะมาโชว์ เพียงแต่ว่าวันนี้มันเป็นในส่วนเรื่องของงาน ตามมารยาทเราก็ต้องออกมาพูดเกี่ยวกับงานที่เราทำวันนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าเรากำลังทำงานอะไรกันอยู่”
หลายคนอาจจะมองว่าการทำธุรกิจด้วยกันครั้งนี้เป็นการวางรากฐานอนาคตร่วมกันหรือเปล่า?
บี – “ต้องบอกว่านอกจากเราเป็นนักแสดงแล้ว เราก็อยากมีธุรกิจอื่นๆ ซึ่งจริงๆ บีเองก็ทำเยอะมากถ้าได้เห็นในโซเชียล ส่วนที่คนจะมองว่าเปิดธุรกิจครั้งนี้เหมือนเป็นการโอเพ่นเรื่องความรักหรือเปล่า คือมันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หมอดูบอกว่าอย่าเพิ่งเปิด แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งได้เวลาแล้ว อย่าหาว่างมงายเลยนะ ปกติเป็นคนไม่ค่อยดูดวง แต่วันนี้ขอพูดเลยว่าเขาค่อนข้างแม่นเหมือนกัน อาจจะไม่ใช่เรื่องของเราแต่เป็นเรื่องของคนอื่นที่เรารู้มา ทำนายอะไรที่แบบว่าจริงเหรอ แล้วมันก็จริงจริงๆ ด้วย อย่างของเราเขาก็พูดประมาณว่าเงียบๆ ไปก่อน สักพักนึงดวงเราถึงจะเริ่มดีขึ้นแล้วนะ ถึงเวลาก็เปิดเลยเปิดได้ แต่ต้องบอกก่อนว่าเรากับเพื่อนๆ ไม่ได้ปิดอยู่แล้ว ทุกคนรู้อยู่แล้ว”
ความรักครั้งนี้มันให้ความสบายใจกับเรายังไงบ้าง? บี – “พอเราโตแล้วเราก็ค่อนข้างที่จะใช้เหตุผลกับทุกอย่าง ไม่ใช้อารมณ์เลย แล้วก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายมากกว่า ถามว่าอะไรที่ทำให้มั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้ เดี๋ยวขออนุญาตพาเขาออกไปก่อนนะคะ(ยิ้ม) เขาเขินแล้ว สิ่งที่มั่นใจเหรอคะ ของแบบนี้บีคิดว่าอะไรไม่รู้แหละ แต่กับเราคือใช่ อยู่ในจังหวะเวลาที่ที่สบายใจ ยอมรับว่าใช้เวลาในการพิสูจน์นานเหมือนกันสำหรับความรักครั้งนี้ เห็นอย่างนี้เราก็เคยอยู่เป็นโสดเหมือนกัน ตอนนั้นก็เป็นช่วงของการใช้เวลาคิดว่าถ้ามันใช่มันก็ใช่เอง แต่เราก็พยายามใช้ชีวิตสายกลาง ไม่มากเกินไปแล้วก็ไม่น้อยเกินไป พยายามให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีอะไรไม่โกหกกันเลย”
ความรักครั้งนี้ค่อนข้างเป็นบทพิสูจน์เยอะเหมือนกันที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้? บี – “ต้องบอกว่าเราเจออะไรที่มันหนักหนาสาหัสจริงๆ แต่เราเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ถ้าถึงเวลาที่ต้องมูฟออนมันก็ต้องมูฟออน เราไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะคิดยังไง รู้แค่ว่าสิ่งที่เราเป็นเราเป็นคนยังไง ตัวตนเป็นยังไง นั่นคือสิ่งที่มันพิสูจน์ให้คนที่อยู่รอบข้างเราได้เห็น
ถามว่าเหนื่อยมั้ยกับสิ่งที่เจอมาก่อนหน้านี้ สำหรับบีมองว่าการฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างมันเหนื่อย ท้อ และเสียใจอยู่แล้ว แต่บีเชื่อว่าคนที่รักเราและรู้ว่าเราเป็นยังไงจริงๆ เขาจะอยู่ข้างๆ เรา ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องเป็นคนไม่ดีนะคะ เรามั่นใจว่าเราเป็นคนดี แต่คนอื่นไม่รู้ไม่สน แต่บีคิดว่าคนที่ใกล้ชิดเราที่เขารู้ว่าเราเป็นยังไง มันจะเห็นได้เองโดยที่เราไม่ต้องพยายามให้เขาเห็นว่าเราดี แต่เขาจะเห็นได้เองเลยตั้งแต่แรกค่ะ”
ความที่เราเป็นคนที่อยู่หน้าสื่อก็ค่อนข้างจะโดนวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินไปแล้ว โดยที่เรายังไม่ได้ตอบอะไรเลย? บี – “บีไม่ค่อยแคร์เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ อย่างที่บอกว่าเราไม่ใช่เด็กๆ เราโตแล้วมีวุฒิภาวะพอที่รู้ว่าเราจะต้องแคร์ใคร อย่างบางทีเขาอาจจะมีการเขียนข่าวเอาไว้ก่อนแรงๆ หรือแม้แต่คนที่มาเล่นโซเชียลแล้วก็ด่าเราแรงๆ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไรอันนี้เราไม่สนใจอยู่แล้วเพราะมันก็เป็นผลดีกับชีวิตเรา”
ถามถึงก่อนหน้านี้ที่ลงรูปแล้วมีแหวน หลายคนสงสัยว่าหมั้นแล้วหรือเปล่า? บี – “วันนี้ไม่ได้ใส่มาค่ะ กลัวหาย ไม่ใช่อะไร (สรุปเป็นแหวนหมั้นไหม?) คือเป็นแหวนที่คุณแม่คุณฟลุคเอามาให้ อันนี้ต้องขอพูดเพราะมันเป็นความจริงเนอะ อย่างที่บอกว่าเขาเห็นดูแล้วว่ามันคืออะไร โดยที่เขามั่นใจอ่ะค่ะ (เหมือนเป็นการตีตราจองไว้แล้วแหละ?) ก็ยอมรับค่ะ แต่ว่าไม่อยากพูดถึงคุณแม่เยอะเพราะว่าเกรงใจท่านค่ะ”
ใกล้จะมีข่าวดีแล้วไหม? บี – “อุ๊ย! วันนี้ก็ข่าวดีแล้วนะคะ (ข่าวที่ยิ่งดีกว่านี้ไปอีกไง หรือว่าจะจัดที่นี่เลย?) ขอเรียนเชิญด้วยนะคะ ถ้าเกิดทุกคนโอเคบีก็ขอเชิญมาโปรโมตคอนเวนชั่นที่จุคนได้เกือบ 2,500 คน ซึ่งจะสร้างเสร็จในเดือนตุลาคมนี้ แต่ว่าอาจจะแกรนด์โอเพนนิ่งปลายปีหรือว่าต้นปีหน้าค่ะ (แสดงว่าเราก็อาจจะเป็นคู่แรกที่ได้ใช้คอนเวนชั่นนี้?) มาหรือเปล่าล่ะ(หัวเราะ)”
ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์ของเราสองคนคล้ายด้วย หลายคนก็เลยมองไปถึงว่ามันน่าจะมีวันนั้นเกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคต? บี – “ถ้าถามว่าเรื่องแต่งงานอะไรอย่างเนี้ย บีเป็นคนไม่ซีเรียสว่าจะต้องจัดงานแต่ง เขาก็เคยถามว่าเอามั้ย แต่เรารู้สึกเสียดายตังค์ (สถานที่ฟรีแล้วนะ?) ใช่ แต่มันก็ลงทุนอย่างอื่นไง แต่มีแพลนว่าอาจจะเชิญเพื่อนๆ มากินข้าว (ทั้งหมดทั้งมวลที่วางแผนมามันก็นำไปสู่การแต่งงาน เหลือแค่เราว่าจะเซย์เยสไหม?) เราก็สวมแหวนไปแล้วนะคะ(ยิ้ม)”